สาระน่ารู้: อากาศร้อนกับแบตเตอรี่รถกระบะ มีผลอย่างไร คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถในหน้าร้อน

อากาศร้อนกับแบตเตอรี่รถกระบะ มีผลอย่างไร คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถในหน้าร้อน

หากเริ่มสตาร์ทรถติดยาก ไฟหน้าหรือแตรเริ่มอ่อน แนะนำให้ตรวจสอบแบตเตอรี่ทันที อย่ารอจนแบตเสียกลางทาง เพราะอากาศร้อนอาจเร่งให้อาการแย่ลงเร็วกว่าปกติ

อากาศร้อนกับแบตเตอรี่รถกระบะ มีผลอย่างไร คำแนะนำสำหรับผู้ใช้รถในหน้าร้อน

ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอากาศร้อนตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนที่อุณหภูมิอาจพุ่งสูงเกิน 40°C ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้ว่า “ความร้อน” มีผลกระทบอย่างมากต่อ แบตเตอรี่รถกระบะ และระบบไฟฟ้าของรถโดยตรง

ผลกระทบของอากาศร้อนต่อแบตเตอรี่รถกระบะ

1. อุณหภูมิสูงทำให้น้ำกลั่นระเหยเร็ว
   ความร้อนทำให้ของเหลวภายในแบตเตอรี่ระเหยเร็วขึ้น โดยเฉพาะแบตเตอรี่ชนิดน้ำ ส่งผลให้ประจุไฟลดลงและอายุการใช้งานสั้นลง
   
   

2. แผ่นธาตุภายในแบตเตอรี่เสื่อมไว
   อุณหภูมิที่สูงเกินไปสามารถทำให้แผ่นตะกั่วภายในแบตเตอรี่เกิดการสึกกร่อนเร็วขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่อย่างถาวร
   
   

3. ความร้อนเร่งปฏิกิริยาเคมี
   ทำให้แบตเตอรี่ปล่อยประจุเร็วขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้แบตหมดไวแม้จะจอดรถเฉยๆ โดยเฉพาะรถที่ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้าหลายชิ้น
   
   

4. เครื่องยนต์สตาร์ทยาก
   หากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมเนื่องจากอากาศร้อน จะส่งผลให้กำลังไฟในการสตาร์ทรถลดลง โดยเฉพาะรถกระบะที่ใช้งานหนัก
   
   

วิธีดูแลแบตเตอรี่รถกระบะในช่วงอากาศร้อน

• ตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ทุก 2-4 สัปดาห์
  
  

• หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดจัดเป็นเวลานาน
  
  

• ใช้แบตเตอรี่ชนิดแห้งหรือแบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่น หากต้องจอดรถนานๆ
  
  

• เช็กกำลังไฟแบตทุก 6 เดือน หรือก่อนออกทริปไกล
  
  

• เปลี่ยนแบตเตอรี่ตามอายุการใช้งาน (2-3 ปีสำหรับรถใช้งานปกติ)
  
  

เลือกแบตเตอรี่รถกระบะที่ทนความร้อนได้ดีกว่า

หากคุณต้องใช้รถในพื้นที่ที่ร้อนจัด ควรเลือกแบตเตอรี่ที่มีคุณสมบัติทนต่อความร้อน เช่น แบตเตอรี่ชนิด AGM หรือ EFB ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายมากกว่าทั่วไป

คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ

หากเริ่มสตาร์ทรถติดยาก ไฟหน้าหรือแตรเริ่มอ่อน แนะนำให้ตรวจสอบแบตเตอรี่ทันที อย่ารอจนแบตเสียกลางทาง เพราะอากาศร้อนอาจเร่งให้อาการแย่ลงเร็วกว่าปกติ